หนังญี่ปุ่น เรื่อง บันทึกน้ำตา 1 ลิตร เป็นหนังที่อายเพิ่งดูจบล่าสุดนี้เองค่ะ
แต่หนังเรื่องนี้ มีออกมานานแล้วเหมือนกันนะคะ เลยรู้สึกว่าพลาดมาก ที่ก่อนหน้านี้ทำไมไม่ยอมดู
คือ เป็นหนังที่ดีมากกกกกก **สร้างจากเรื่องจริงด้วยนะคะ
ไม่รู้ว่าเพื่อน ๆ เคยดูกันหรือยัง แต่อายบอกได้คำเดียวเลยค่ะว่า
เป็นหนังที่สุดยอดมาก ๆ และบ้านไหนที่มีผู้ป่วยยิ่งต้องดูเลย !!
รับรองว่า จะได้รับทั้งแรงบันดาลใจ ข้อคิดดี ๆ ได้เห็นถึงความพยายามของคนที่ป่วย
ซึ่งใกล้เคียงกับคนที่เป็นโรคไตมาก ในแง่ที่เป็นโรคเรื้อรังเหมือนกัน
ส่วนใครที่เป็นญาติถ้าได้ดูแล้วจะอินมากจริง ๆ ถ้ายิ่งผู้ป่วยกับญาติถ้าได้ดูพร้อมกันล่ะก็
รับรองเลยว่า ซึ้งน้ำตาไหล แถมยังจะรักและเข้าใจกันมากขึ้น แน่นอนค่ะ

ขอเล่าเรื่องคร่าว ๆ นึดนึงนะคะ…
เรื่องนี้ นางเอกป่วยเป็นโรค โรคนึง ที่ในยุคนั้น ทางการแพทย์ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
คือยังไม่มีวิธีรักษา ได้แค่จ่ายยาเพื่อชะลออาการเท่านั้น (รู้สึกว่าคล้าย ๆ ผู้ป่วยโรคไตไหมคะ)
โดยตอนแรก ตั้งแต่เด็ก ๆ นางเอกก็ไม่ได้ป่วยหรอกค่ะ แต่เพิ่งจะมาตรวจพบตอนช่วงวัยรุ่น
แล้วหลังจากที่ตรวจพบ ก็ต้องมารักษาที่โรงพยาบาลบ่อย ๆ
และนางเอกก็เจอกับพระเอกที่โรงเรียนนี่ล่ะค่ะ เรียนห้องเดียวกัน
ในด้านครอบครัวนางเอก ตอนแรกพ่อกับแม่ก็ทำใจไม่ค่อยได้ เพราะลูกกำลังมีชีวิตที่ดี
เรียนเก่ง กีฬาก็เก่ง เป็นดาวเด่นในห้องเรียนเลยค่ะ ทำใจอยู่นานแต่สุดท้ายก็ต้องบอกความจริง
เรื่องอาการป่วย และครอบครัวก็เป็นคนที่คอยให้กำลังใจกันตลอด
(ในบ้าน มีพ่อ แม่ น้องสาวนางเอก 2 คน และน้องชายนางเอก 1 คน นะคะ)
ต่อมา อาการนางเอกก็ทรุดลงเรื่อย ๆ ทำให้ไปโรงเรียนไม่ค่อยได้ แถมเพื่อน ๆ ในห้อง
และคนรอบข้างก็พากันมองด้วยสายตาลบ ๆ มีแต่พระเอกคนเดียว ที่รู้เรื่องของนางเอกทั้งหมด
เพราะพ่อพระเอกเป็นหมอในโรงพยาบาลที่นางเอกรักษาอยู่ บวกกับแอบชอบนางเอกด้วย
เลยสนใจเป็นพิเศษ
จนสุดท้ายนางเอกก็อาการแย่ลง จนไม่สามารถไปเรียนได้ ก็เลยลาออกมาอยู่โรงเรียน
สำหรับคนที่เป็นโรคนี้ และพระเอกก็ยังมาหาอยู่ตลอด ทำให้นางเอกมีชีวิตชีวาและมีความสุขมากขึ้น
รวมถึงชีวิตพระเอกก็ดีขึ้น เรียนเก่งขึ้น และสอบเข้ามาเรียนหมอได้สำเร็จ
ส่วนตอนจบก็จะเศร้าหน่อยค่ะ น้ำตาท่วมจอเกิน 1 ลิตรแน่นอน 5555
ข้อคิดดี ๆ ที่หนังเรื่องนี้ได้ให้ไว้…
ข้อที่ 1 : นางเอกได้พูดเอาไว้ว่า “โรคนี้..ทำไมถึงเลือกฉันนะ? ทำไมฉันต้องเป็นโรคนี้ด้วย ?”
ซึ่งเป็นคำถามที่คงไม่มีตอบได้ พอได้ยินประโยคนี้ อายเลยคิดได้ว่า ผู้ป่วยโรคไตและญาติเอง
ก็คงเคยมีถามแบบนี้เช่นกัน แต่ในเมื่อสุดท้ายแล้ว เราทุกคนก็ไม่สามารถย้อนเวลาที่จะกลับไปไม่ป่วยได้ใช่ไหมล่ะคะ
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ต้องเราต้องกันทำต่อไปก็คือ ยอมรับและเรียนรู้ที่จะอยู่ต่อไปให้ได้ อย่างมีความสุข
หาข้อดีจากการป่วยให้เจอ และที่สำคัญ ทางครอบครัวเองก็ต้องยอมรับด้วยเช่นกันนะคะ อย่าให้ผู้ป่วยต้องเศร้าอยู่คนเดียว

ข้อที่ 2 : บางครั้ง เราก็เจอกับสายตาที่เย็นชา และโหดร้าย แต่จริง ๆ
แล้วถ้าเรามองรอบตัวดี ๆ สายตาที่อ่อนโยนและเมตตา ก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นเดียวกัน
อายอยากให้ทุกคนเริ่มมองหาสิ่งดี ๆ เหล่านี้ เพื่อเป็นกำลังใจให้สู้ต่อไปนะคะ
ข้อที่ 3 : ชีวิตในตอนนี้ เราทำอะไรได้ก็ทำเลย เราไม่สามารถไปใช้ชีวิตในอดีตได้
มีแต่ปัจจุบันเท่านั้น ที่เราจะทำสิ่งที่อยากทำได้ ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า เพื่อจะไม่ต้องมาเสียใจทีหลังในสิ่งที่ไม่ได้ทำ
บางที การที่เราป่วยอาจทีเหตุผลบางอย่าง การที่ญาติยังแข็งแรงดี ก็อาจมีความหมายบางอย่างก็ได้นะคะ

ข้อที่ 4 : ถ้าไม่ป่วย เราคงได้มีความรัก ได้มีช่วงเวลาที่ดีในชีวิตมากกว่านี้อีก
ประโยคนี้ อายเองก็ได้ยินมาบ่อย ๆ นะคะ แต่ในอีกมุมมองนึง ที่อายคิดดว่า หลายคนอาจจะมองข้ามไป ก็คือ
ถ้าไม่ป่วย เราคงไม่ได้เห็นว่า มีกี่คนที่พร้อมจะอยู่ข้างเรา มีกี่คนที่คอยช่วยเหลือเราอยู่
มันเป็นสิ่งที่คนปกติทั่วไป แทบไม่สังเกตเห็นด้วยซ้ำ
ดังนั้น จริง ๆ แล้วการป่วย อาจทำให้เรากลายเป็นคนอ่อนโยนกับคนอื่นมากขึ้น
เห็นใจคนอื่นมากขึ้น มีความอดทนมากขึ้น มีวินัยมากขึ้น
และที่สำคัญทำให้เราเข้าใจชีวิตในหลาย ๆ ด้านมากขึ้นด้วยค่ะ
ข้อ 5 : แม่ของนางเอกได้บอกกับนางเอกว่า “เป็นเพราะหนู ทำให้มีคนรอบข้าง ได้คิดถึงเรื่องมีชีวิตอยู่
ทำให้พวกเขามีความสุขที่ได้ใช้ชีวิตในทุก ๆ วัน และคนที่เป็นโรคเดียวกัน แล้วกำลังทรมานอยู่ ก็ได้รู้ว่า
ไม่ได้มีแต่เขาคนเดียวเท่านั้น ที่เสียน้ำตาไปมากมาย
คำพูดของหนู ความรู้สึกของหนู ตอนนี้ได้ส่งไปถึงใจของคนหลาย ๆ คนแล้วนะลูก”
อายอยากจะใช้ประโยคนี้ บอกกับเพื่อน ๆ ทุกคนเลย ในฐานะที่อายก็เป็นญาติคนนึง
ที่ตัดสินใจมาทำเพจนี้ ก็เพราะอยากให้ทุกคนรู้ว่า ไม่ใช่แค่คุณคนเดียวที่เจอเรื่องแบบนี้
ยังมีคนอีกหลายคนที่เจอ มีอีกหลายคนที่เข้าใจ และรู้สึกไม่ต่างกันกับคุณ อยู่บนโลกใบนี้
เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งหมดหวัง หมดกำลังใจ และอย่าไปรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า
เพียงเพราะสายตาแค่ไม่กี่คู่ หรือคำพูดทำร้ายจิตใจไม่กี่คำ จากคนที่คุณเคยเจอมา
นี่ล่ะค่ะ เป็นข้อคิดดี ๆ ที่อายอยากเอามาบอก และที่สำคัญนี่เป็นหนังที่มีความฝัน ความคิด
และการกระทำหลายอย่างที่มันตรงใจอายมาก ๆ
ยิ่งฉากที่พระเอกกับนางเอกเจอกันที่โรงเรียน มันเหมือนชีวิตอายเลยล่ะค่ะ
(แต่อายเป็นพระเอกที่ไม่ได้ป่วยนะ) เพราะอายเจอกับแฟนครั้งแรก
ตอนมัธยมเหมือนกัน และอายเริ่มรู้ว่าเขาป่วยหลังจากรู้จักกัน 1 ปี พอเขาเริ่มเข้าโรงพยาบาลบ่อย
อายก็มาหาตลอด เหมือนที่พระเอกทำเลยล่ะค่ะ ปัจจุบัน 10 ปี ก็ยังคงดูแลกันต่อไป 🙂
สุดท้าย อยากบอกทุกคนว่าตั้งแต่ดูหนังมา อายประทับใจหนังเรื่องนี้ที่สุด
เพราะมันตรงกับชีวิต ของครอบครัวที่มีคนป่วยอยู่ในบ้านมากจริง ๆ
และเชื่อว่า ถ้าใครได้ดูจะต้องประทับใจแน่นอน ต้องหามาดูกันให้ได้นะค๊าา ^^
อ่านจบแล้ว อย่าลืมแชร์บทความนี้ ให้กับเพื่อน ๆ และคนที่คุณรักกันด้วยนะค๊าา ขอบคุณมากค่ะ
