เป็นโรคไตกับเบาหวาน เลือกกินยังไงดี ?

“เบาหวาน” เป็นโรคยอดฮิต ที่เกิดจากความผิดปกติของตับอ่อน

ที่ไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย (เกิดเป็นเบาหวานชนิดที่ 1)

หรือผลิตได้เพียงพอ แต่ว่าไม่สามารถเอาไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (เกิดเป็นเบาหวานชนิดที่ 2)

 

พอร่างกายไม่มีอินซูลิน หรือมีแต่ก็เอาไปแปลงเป็นพลังงานมาใช้ต่อไม่ได้

น้ำตาลที่กินเข้าไปก็เลยไปสะสมอยู่ในเลือด เหมือนกับน้ำตาลกำลังรอคิว เพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงาน

แต่เมื่อคิวเริ่มยาวขึ้นเรื่อง ๆ อาการเบาหวานจึงปรากฏขึ้นมา เช่น

หิวบ่อย กระหายน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย (เพราะไตพยายามจะช่วยเอาน้ำตาลออกไป) ตามัว ชาตามปลายเท้า

 

ระหว่างที่น้ำตาลต่อคิวกันอยู่ อีกมุมนึง ร่างกายก็แจ้งเตือนว่า ขาดพลังงาน จึงทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย

น้ำหนักลด แผลหายช้า แถมมีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

 

..ใครที่กำลังนึกสงสัยว่าตัวเองเป็นเบาหวานหรือเปล่า และคนที่กำลังเป็นโรคไตและเบาหวานอยู่ จะทำยังไง

ให้คุมน้ำตาลอยู่หมัด แถมมีคุณภาพชีวิตที่ดี๊ดี บทความนี้มีคำตอบแน่นอนค่ะ ^^

 

แต่ก่อนจะไปดูกันต่อ ถ้าเห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์กับคุณ 

หรือกับเพื่อน ๆ ของคุณ ช่วยแชร์กันไปได้เลยนะคะ อายจะขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ 🙂

เบาหวาน2

 

น้ำตาลในเลือดเท่าไหร่ถึงเรียกว่าเป็นเบาหวาน ?

>> ตรวจก่อนอาหารเช้า หรือขณะงดอาหาร

70-99        –> ปกติ

100-125    –> เบาหวานแฝง

126 ขึ้นไป –> เบาหวาน

 

>> ตรวจหลังกินอาหาร

น้อยกว่า 140 –> ปกติ

140-199       –> เบาหวานแฝง

200 ขึ้นไป   –> เบาหวาน

 

**โดยเป้าหมาย คือ การรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด**

 

เบาหวาน3

 

5 วิธีเลือกกินให้มีความสุข และสุขภาพดี

 

1. ลดปริมาณการเติมน้ำตาลในมืออาหารหรือเครื่องดื่ม เพราะการงดไปเลยอาจทำได้ยาก

เนื่องจากคนเราไม่ได้กินอาหารเพื่อความอิ่มอย่างเดียว

แต่ต้องการความสุขและอารมณ์ที่ดีในการกินด้วย

 

จึงแนะนำว่าค่อย ๆ ลดการปรุงน้ำตาลลงจะแฮปปี้กว่า

แต่หากทนไม่ได้ อยากกินหวานจริง ๆ อาจจะใช้สารให้ความหวานแทนได้ค่ะ

 

สารให้ความหวานยอดฮิต เช่น หญ้าหวาน ซูคราโลส มอลทิทอล ไซลิทอล

แอสปาแทม นีโอแทม เป็นต้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ไม่ใช่ว่าทานได้ไม่จำกัด

ต้องทานให้พอดีด้วยนะคะ

เบาหวาน4

 

2. ควบคุมคาร์โบไฮเดรต จริง ๆ แล้ว แป้งและน้ำตาล

อาจไม่ใช่ตัวอันตรายที่น่ากลัวอย่างที่หลายคนคิดค่ะ

เพราะสิ่งสำคัญคือ เราต้องพิจารณาคาร์โบไฮเดรตโดยรวมในแต่ละวัน

(ข้าว แป้ง น้ำตาล เส้นก๋วยเตี๋ยวต่างๆ ขนมปัง เบเกอรี่ทั้งหลาย)

 

ต่อให้เราไม่กินน้ำตาลกับแป้งเลยสักนิด

..แต่เราก็ยังน้ำตาลขึ้นได้ จากโปรตีน ไขมัน ใยอาหารที่กินเข้าไป

เพราะสุดท้ายแล้ว อะไรที่เรากินมากเกินไป ก็จะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลอยู่ดีนั่นเอง

 

ดังนั้นหลักสำคัญก็คือ การทานอย่างพอดี จะทานน้อย ๆ แต่หลายมื้อ หรือจะทานมื้อหลักเยอะหน่อย

แต่แตะของว่างน้อย ๆ ก็ยังได้

เบาหวาน5

 

3. เลือกทานอาหารไขมันต่ำ และมีไขมันดี โดยค่าไขมันที่ดี..

โคเลสเตอรอล ควรน้อยกว่า 200 mg./dL

LDL ต่ำกว่า 100 mg./dL

HDL ผู้ชายควรมากกว่า 40 mg./dL ผู้หญิงควรมากกว่า 50 mg./dL

และไตรกลีเซอไรด์ ควรน้อยกว่า 150 mg./dL

 

เนื่องจาก คนเป็นเบาหวานและไต มีความเสี่ยงสูงมาก ๆ ที่จะเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด

จึงควรเลี่ยงไขมันทรานส์ ในขนมอบกรอบและเบเกอรี่คุณภาพต่ำทั้งหลาย

และต้องเลือกใช้น้ำมันที่ดี เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก

จะช่วยลดความเสี่ยงโรคแทรกซ้อนได้เยอะเลยค่ะ

เบาหวาน5

 

4. ควบคุมโซดียม เพื่อให้ความดันอยู่ในเกณฑ์ **ต่ำกว่า 140/90** จะช่วยหัวใจและไต ไม่ให้ทำงานหนักเกินไป

แถมช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคหลอดเลือดในสมองตีบ เทคนิคการคุมโซเดียม ก็คือ การลดเครื่องปรุงลง

โดยเฉพาะเกลือ น้ำปลา ผลชูรส ผงฟู และสารปรุงแต่งอาหารต่าง ๆ คือ ทานอาหารที่ใกล้เคียงธรรรมชาติที่สุด

ปรุงแต่งให้น้อยที่สุดนั่นเองค่ะ

 

5. ฝึกอ่านฉลากโภชนาการ ข้อสุดท้ายนี้บอกเลยว่าสำคัญไม่แพ้ข้ออื่น

เพราะยุคนี้ อาหาร ขนม เครื่องดื่ม มีให้เลือกซื้อเยอะมาก

เพราะงั้น อายมองว่าสกิลติดตัวที่ไม่ว่าจะเป็นคนป่วยหรือคนปกติต้องมี

ก็คือ การอ่าน Nutrition หรือฉลากโภชนาการให้เป็น

 

เพราะนอกจากจะช่วยให้เราควบคุมการกินได้ดีขึ้น สุขภาพดีขึ้นแล้ว

ยังช่วยประหยัดเงินและเวลา ให้กับเราได้อีกด้วยค่ะ

 

เบาหวาน6

 

ตัวอย่าง (ภาพนี้เป็น Nutrition ของคุกกี้โรคไต Kidneymeal ที่อายผลิตเองค่ะ)

 

1 หน่วยบริโภค มี 4 ชิ้น หรือ 20 กรัม

และ 1 กล่อง มีทั้งหมด 4 หน่วยบริโภค หรือแปลง่าย ๆ ว่า ควรแบ่งกิน 4 ครั้ง

 

พลังงานทั้งหมด 117 kcal  โดยเป็นพลังงานที่มาจากไขมัน 63 kcal

ถือว่าให้พลังงานระดับปานกลาง

เหมาะกับผู้ป่วยที่ทานอาหารได้น้อย เบื่ออาหาร จะช่วยให้ร่างกายมีแรงมากขึ้น

หรือผู้ป่วยฟอกไต ที่หลังฟอกจะมีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ จะช่วยแก้มึนได้

 

ไขมันทั้งหมด 7 กรัม , โคเลสเตอรอล 4 มิลลิกรัม

โปรตีน 1.5 กรัม  หรือเทียบเท่ากับกินไข่ขาวครึ่งฟอง

คาร์โบไฮเดรต 12 กรัม

 

น้ำตาล 5 กรัม หรือประมาณ 1 ช้อนชา  **ผู้ป่วยเบาหวานสามารถทานวันละ 1 หน่วยได้ค่ะ

โซเดียม 12 มิลลิกรัม และฟอสฟอรัส 16 มิลลิกรัม

**อยู่ในเกณฑ์ต่ำมาก ๆ ไม่เกิน 2% จากที่ผู้ป่วยโรคไตควรได้รับต่อวัน

 

และนี่คือเทคนิคทั้งหมดที่อายเอามาฝากกันค่ะ อ่านจบแล้ว อย่าลืมแชร์บทความนี้

ให้คนที่คุณรักกันด้วยนะค๊าา ขอบคุณมากค่ะ

 

ข้อมูลอ้างอิง : หนังสือ บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร

Leave a Comment